skip to main
|
skip to sidebar
*รวมพลคนน่าฮัก*
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog ของจุฑารัตน์
biog นี้ใช้ในการเรียนการสอนของวิชาสื่อการสอนเพื่อให้ผู้
เรียนได้รู้จักการกับระบบของตัวเอง
*สาวคาสโนวี่*
สู้ สู้ สู้ตาย
คาสโนวี่
นางสาวจุฑารัตน์ ด่านขุนทด (อ้อม) E-mail aom_edcom@hotmail.com อยู่ จังหวัด ระนอง อำเภอ ละอุ่น คบ.3 เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง คติประจำตัว เวลาไม่เคยรอคอยใคร ฝันให้ไกล ไปให้ถึงเพื่ออนาคตวันข้างหน้า
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
*เราเพื่อนกัน*
ความพยามคือ ความสำเร็จ
...ดินสอสี...
สี....
"ดินสอ"
....ดินสอ (pencil) เป็นอุปกรณ์ในการเขียนและการวาดภาพ มักใช้เขียนลงบนกระดาษดินสอปกติจะมีลักษณะเป็นแท่งไม้ยาวๆ มีไส้อยู่ข้างใน โดยปกติไส้ดินสอจะทำจากแกรไฟต์มีดินสอบางชนิดทำจากถ่านไม้(ในดินสอเขียนคิ้ว จะเป็นเครื่องสำอาง) ดินสอบางแท่งจะมียางลบอยู่ที่ปลายดินสอ เพื่อสะดวกในการลบ................ดินสอส่วนใหญ่จะมีหน้าตัดเป็นรูปหกเหลี่ยมเนื่องจากสามารถจับได้ถนัด สบายมือ และเมื่อกลิ้งจะสามารถหยุดได้ (หากกลมจะมีโอกาสกลิ้งตกโต๊ะไปมากกว่า) ดินสอสำหรับช่างไม้จะเป็นรูปร่างแบน ซึ่งไม่กลิ้งเช่นกัน และสามารถกะระยะของเส้นได้เที่ยงตรงกว่า
ภาพวาด "ดินสอ"
*พรสวรรค์ ไม่มี แต่มีความพยายาม*
"วาดภาพด้วยปากกาดำ และระบายสีไม้"
ภาพวาดนี้ใช้ความพยายามในการวาดมาก เพราะเป็นการวาดด้วยการใช้ "ปากกาดำ" ซึ่งไม่ถนัดวาดรุ้อยู่แล้ว ถ้าวาดก็จะใช้ดินสอวาด
ตอนแรกยากนะแต่พยายามนะค่ะ ภาพนี้เกี่ยวกับ สัตว์น่าชนิด ที่อาศัยอยู่ในบ่าร่วมดำรงชีวิตร่วมกัน มี ช้าง ยีราฟ กระต่าย กระรอก ม้า เป็นต้น และสัตว์อื่นอีกมากมายค่ะ
งานชิ้นนี้ใช้ปากกาดำไม่ม่การร่างวาดเลย ใช้สีไม้ในการระบายภาพ ในหนึ่งสิ่งให้มี 3 สี
ใช่สี 3โทน ดังนี้ โทนร้อน โทนเย็น และโทนตรงข้าม
ดูแบบมีศิลปะ
การเขียน ลายเส้น ด้วยปากกาดำ
นำเสนอเจ้าตูบ
"สุนัขกับเงา"
การวาดภาพโดยใช้สีไม้
*เจ้าตูบตอนจบ*
เจ้าตูบ!จำต้องเดินคอตก จากไปด้ายความเสียดาย...เพราะความโลภของมันเองจึงอดกินเนื้อที่มันขโมยเอามาจากตลาด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า"โลภมาก ลาภหาย"
คลังบทความของบล็อก
▼
2007
(9)
▼
กันยายน
(9)
ความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับจากวิชาสื่อการเรียนการสอน
เนื้อหาบทเรียน
สื่อการสอน...
การออกแบบสื่อการสอน
การออกแบบและการสร้างสื่อกราฟิก
สื่อวัสดุกราฟิก "สีไม้"
การสร้างblog
สรุปการเรียนการสอน
นิยามรัก
นิยามรัก 24 ข้อ
1.การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มี ความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2.พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่...ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่านประทานมา
3.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคน แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และ ความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4.สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลัง ว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป
5.เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอเรา
6.เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7.เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีก เช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
8.การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา
9.มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10.อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้วถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้
11.ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12.การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13.อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันจะไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14.มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน เพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15.ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ
16.ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณแข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความ หวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข
17.เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
18.คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาลเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้
19.จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่าเขาเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในพวกเขา
20.คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขา มีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
21.ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่าของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา
22.ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา
23.อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดีถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวาง ความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
24.คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้มในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้
คิดอย่างไรไม่ให้เครียด
คิดอย่างไรไม่ให้เครียด
เครียด เป็นภาระที่ทุกคนไม่อยากประสบพบพาน แต่คงไม่มีใครที่ไม่เคยเครียด ดังนั้นมาทำความรู้จักกับความเครียด และวิธีการคิดเพื่อที่จะได้ไม่เครียดกันดีกว่า
ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการตื่นตัวเตรียมรับกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามไปด้วย
ความเครียดนั้นมีกันทุกคน แต่ละมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการคิดการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ร้ายแรงแก้ไขได้โดยง่าย ก็จะไม่เครียด แต่ถ้าหากว่าปัญหานั้นยิ่งใหญ่ ร้ายแรง แก้ไขลำบาก ก็จะทำให้เครียดมาก หากว่ามีความเครียดในระดับที่พอดี ๆ ก็จะช่วยให้มีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสูงชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งนี่เองคือข้อดีของความเครียด ไม่ใช่ว่าเครียดจะไม่มีส่วนดี ๆ เอาเสียเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดมี 2 ประการคือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการปรับตัว ปัญหาการเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล่วนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เกิดความเครียดได้
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล จะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจัง ใจร้อนและวู่วาม
จากสาเหตุที่สำคัญนี้ ความเครียดจะไม่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกันคือ มีสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความคิดและการประเมินสถานการณ์เป็นตัวบ่งว่าจะเครียดมากเครียดน้อยเพียงใด
เมื่อปัญหากระตุ้นให้เกิดความเครียด การลดความเครียดจึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว
มาทำความรู้จักใจตัวเองกันเถอะค่ะ.....
ว่าง ๆ ลองสำรวจดูใจของคุณว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่? เป็นคนใจอ่อน ใจง่าย ไม่หนักแน่น ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด มักทำอะไรเพื่อตามใจคนอื่นมากกว่าที่จะทำเพราะความพอใจตนเอง หรือทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องควรจะเป็น ใจของคุณจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของคนรอบข้างเสมอ ถ้ายิ่งมีจุดอ่อนมากเท่าใด ก็ยิ่งตกเป็นเครื่องมือของคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
พ่อแม่ที่ใจอ่อน ก็จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของลูก ลูกจะเอาอะไรก็ต้องสรรหามาให้ วัยรุ่นที่ใจอ่อนก็ต้องคอยตามใจเพื่อน เพื่อนจะชักจูงให้ทำอะไรก็ทำตาม คนใจอ่อนเมื่อทำงานก็คงเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จึงจะเลิกเป็นคนใจอ่อนให้ใคร ๆ หลอก ให้เป็นทาสรับใช้ของเขาตลอดไป
คงจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาจุดอ่อนของตัวคุณเองให้พบเสียก่อน แล้วจึงทำการแก้ไข คุณที่รู้ตัวว่าเป็นคนใจอ่อน ลองสำรวจตัวเองว่ามีจุดอ่อนดังต่อไปนี้หรือไม่
1. คุณมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ ความรู้สึกผิดนี้เองเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คุณพยายามทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด เช่น พ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกจะรู้สึกผิดที่ทำหน้าที่ของพ่อแม่บกพร่องไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณืแบบจึงชดเชยด้วยการปรนเปรอลูกด้วยสิ่งของหรือตามใจมากเกินไปจนลูกเคยตัวและเสียนิสัย ทั้งที่ความจริงแล้ว พ่อแม่ไม่ได้เจตนาจะสร้างนิสัยเช่นนั้นให้กับลูก
2. คุณกลัวความขัดแย้งและกลัวว่าคนอื่นจะโกรธ กลัวคนอื่นจะไม่พอใจ ความกลัวแบบนี้เป็นจุดอ่อนทำให้คุณต้องเป็นฝ่ายยอมให้คนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่กล้าขัดใจใคร ทั้งที่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่คุณต้องฝืนใจอย่างที่สุด เช่นภรรยาที่สงสัยว่าสามีจะนอกใจ แต่ไม่กล้าซักถามเพราะกลัวสามีโกรธพาลทะเลาะกันให้อายลูก ๆ อายคนในบ้านใกล้เรือนเคียง เลยต้องทนทุกข์ระทมขมขื่นอยู่คนเดียว อย่างนี้เป็นต้น
3. คุณเป็นคนขี้สงสาร ใครมาขอให้ช่วยก็ช่วยเขาไปหมด ใครมาเล่าความทุกข์ความลำบากให้ฟังก็เชื่อเขาง่าย ๆ ให้เงินเขาไปง่าย ๆ โดยไม่ทันพิจารณาก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ บางคนมีจุดอ่อนที่เห็นน้ำตาเป็นไม่ได้ เช่นลูกร้องไห้อยากได้ของเล่นก็ต้องรีบหาซื้อให้ เพราะแพ้น้ำตาของลูก หรือคนที่เรารัก
4. คุณเป็นคนชอบคำเยินยอชอบให้ใครมาปรนนิบัติเอาใจ ใครมาทำดีกับคุณพูดดีกับคุณหน่อย คุณก็ยอมเขาไปหมดโดยไม่หยุดคิดเลยว่าคนนั้นเขาจริงใจกับคุณแค่ไหน ถ้าคุณมีจุดอ่อนแบบนี้ คุณจะถูกหลอกใช้หรือถูกหลอกเอาทรัพย์สินไปได้ง่ายมาก
5. คุณกลัวคนอื่นจะไม่ชอบคุณ เป็นความจริงที่คนหลาย ๆ คนกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นคนที่ไม่มีใครรัก ไม่มีใครชอบ ไม่มีเพื่อนเลยต้องพยายามตามใจคนอื่นให้มากเข้าไว้เพื่อเขาจะได้พอใจ ชอบใจและไม่เกลียดคุณ แต่จุดอ่อนแบบนี้จะทำให้คุณต้อสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
6. คุณกลัวภัยอันตราย นี่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ถ้าคุณเป็นคนขวัญอ่อนถูกใครข่มขู่เข้าหน่อย กลัวมาก บางครั้งคุณจึงต้องยอมทำตามคำขู่มากกว่าจะกล้าทำในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง
7. คุณกลัวเพื่อนร่วมงานของคุณจะไม่พูดด้วย เพราะบางคนให้ความสำคัญกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป จึงต้องคอยตามใจเพื่อนกลัวว่าถ้าทำให้เพื่อนโกรธแล้วเพื่อนจะไม่พูดด้วย ตามความเป็นจริงแล้วเพื่อนนั้นมีหลายคน ถ้าไม่พูดด้วยสักคนก็ไม่เห็นน่าจะเดือดร้อนที่ตรงไหน ทำตัวตามสบายดีกว่า หายโกรธแล้วก็คงพูดกันเองคบกันเป็นเพื่อนต่อไปได้
8. คุณไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นเพราะกลัวว่าจะทำผิด จุดอ่อนนี้จะทำให้คุณต้องเป็นผู้ตามไปตลอดชีวิต คุณคงลืมคิดไปว่า บางครั้งสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาทำกันนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกเสมอไปก็ได้ ถ้าคุณเอาแต่คล้อยตามเขาไปโดยไม่คิด คุณก็อาจจะพลอยทำผิดตามไปด้วย และที่สำคัญคุณจะไม่มีความภาคภูมิใจ และไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองเลย
จุดอ่อนที่ทำให้คุณเป็นคนใจอ่อนทั้ง 8 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณอยู่ในข้อไหนบ้าง ถ้าไม่มีเลยคุณก็เป็นคนใจแข็งอย่างน่าชมเชย แต่ถ้าคุณเป็นคนใจอ่อน ก็อย่าเพิ่งตกใจ ยังมีทางแก้ไขได้ดังนี้
คุณลองถามใจของคุณดูว่า คุณมีความสุขดีอยู่หรือที่ต้องยอมฝืนใจตัวเอง แล้วตามใจใครต่อใครอยู่เรื่อย ๆ คุณชอบหรือที่จะให้ใคร ๆ หลอกใช้คุณ หรือมีอิทธิพลเหนือคุณ ถ้าคุณไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่มีความสุข คุณจะมีวิธีปฏิเสธไม่ยอมตามใจใครอย่างไร เช่น ถ้าลูกคุณร้องไห้รบเร้าให้ซื้อของเล่น คุณจะรีบเดินหนีไปที่อื่น หรือถ้าเพื่อนชวนหนีโรงเรียน คุณจะปฏิเสธว่าไม่ไปเพราะไม่ชอบ เป็นต้น เมื่อคิดวางแผนแล้วว่าจะพูดจะทำอย่างนี้แล้ว ก็ควรทำให้ได้ตามที่คิดไว้ด้วย
เมื่อทำครั้งนี้สำเร็จ คุณจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจใคร รู้สึกว่าศักดิ์ศรีคุณกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณไม่ใจอ่อนอีกในคราวหน้า
คุณต้องไม่ลืมว่า คนที่ใจอ่อนชอบตามใจคนอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ใคร ๆ ชอบก็จริง แต่ก็จะเป็นคนที่ไม่มีใครเกรงใจ เพราะฉะนั้นเลิกใจอ่อนเสียที ทำตัวให้คนอื่นเกรงใจดีกว่า คนอื่นอาจชอบคุณน้อยไปหน่อย แต่ก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคน เป็นตัวของตัวเองดีกว่าเป็นไหน ๆ
เส้นทางสู่ดวงดาว องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ......
การจะเป็นผู้บริหารรั้นยากยิ่ง แต่การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นยากยิ่งกว่า
จากประสบการณ์และการเรียนรู้จากผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ พบว่าองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผู้บริหารประสบความสำเร็จในชีวิตของการเป็นนักบริหาร คือ
1. บุคลิกภาพ (ดี) มีคำกล่าวว่า "มาดดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดีอยู่เสมอ กล่าววคือ จะต้องเป็นผู้ที่มี "จิตใจแจ่มใส กายสง่า และวาจาดี" จิตใจแจ่มใส หมายถึงการมีจิตใจที่แจ่มใส ร่างเริงเบิกบานอยู่เสมอ การรู้จักมองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ขันไม่บ่น ไม่บึ้ง และไม่เบี้ยว กายสง่า การแต่งกาย ท่าทาง การวางตัว จะต้องถูกต้องเหมาะสมและภูมิฐาน วาจาดี ผู้บริหารที่ดีจะต้อง "พูดดี พูดเป็น" อดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ กล่าวว่า "ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายเรา" ฉะนั้นผู้บริหารจะต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนคิดก่อนพูดไม่ใช้พูดก่อนคิด การพูดไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นพรแสวงที่ฝึกได้หัดได้ จะพูดแต่ละครั้ง พึงระลึกถึงคำกลอนของสุนทรภู่ที่สอนว่า
"อันมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ"
2. ความรู้ (ดี) ผู้รู้สอนว่า
"รู้อะไรให้รู้เป็รนครูเขา จะได้เบาแรงตนเร่งขวนขวาย มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง"
"อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก ถ้าถอยศักดิ์เสื่อมอำนาจวาสนา เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา แต่วิชานั้นคู่กายจนวายปราณ"
ผู้บริหารที่ดีนั้นต้อง "Know Something in everything" รู้บางสิ่งในทุกสิ่ง (ความรู้ทั่ว ๆ ไปต้องรู้กว้างและรู้ไกล) "Know everthing in Something" รู้ทุกสิ่งในบางสิ่ง (รู้งานในหน้าที่ที่ต้องรู้ลึก) "ผู้บริหารในยุคปฏิรูปการศึกษาจะต้องเป็นผู้นำทางวิชาการ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ที่ทันสมัยอยู่เสมอ"
3. (มี) วิสัยทัศน์ ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วิสัยทัศน์ของบุคคลเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ ประสบการณ์และการเรียนรู้เกิดจากการได้อ่าน ได้ฟัง ได้ ดู และได้ปฏิบัติ คนที่มีประสบการณ์และการเรียนรู้มาก ๆ คือ คนที่ได้อ่าน ได้ดู ได้ฟัง และได้ปฏิบัติมามากย่อมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วิสัยทัศน์จะต้องควบคู่กับการปฏิบัติเสมอ "Vision with action" จึงบรรลุผล ถ้ามีวิสัยทัศน์ แต่ขาดการนำสู่การปฏิบัติ "Vision without action" ก็เท่ากับการเพ้อฝันเท่านั้นเอง
4. (มี) ภาวะผู้นำ มีคำกล่าวว่า "ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้นำ แต่ผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริหาร" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงความสำคัญของผู้นำไว้ดัวนี้
"โขลงช้างย่อมมีพญษสาร ครอบครองบริวารทั้งหลาย ฝูงโคขุนโคก็เป็นนาย มุ่งหมายนำพวกไปหากิน ฝูงหงส์มีเหมราชา สกุณามีขุนปักษิณ เทวายังมีศักริทร์ เป็นมิ่งเทวัญชั้นฟ้า เหล่าคนจะต้องเป็นคณะ ถ้าต่างคิดเกะกะตามประสา จะตั้งอยู่ได้ดีสักกี่เพลา ดูท่าจะยับอับจน จำเป็นต้องมีหัวหน้า กะการบัญชาให้เป็นผล กองทัพบริบูรณ์ด้วยผู้คน ไม่มีจุมพลจะสู้ใคร"
ภาวะผู้นำมีหลายแบบ แต่ละแบบมีดีและมีเสีย ไม่มีวิธีที่ดีที่สุด "There is no best way" ผู้นำที่ฉลาด คือผู้ที่รู้จักเลือกใช้ภาวะผู้นำให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ บุคคล และสภาพแวดล้อม
5. (มี) มนุษยสัมพันธ์ ผู้บริหารจะต้องทำงานกับบุคคลหลายฝ่าย ทั้งผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาและบุคคลทั่วไป ดังนั้น จึงต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับนาย ลูกน้อง เพื่อน และคนทุกคน คำกล่าวต่อไปนี้ล้วนแต่ให้ความรู้สึกที่ดี ในเชิงของการสร้างมนุษยสัมพันธื
"ไมาฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" "สนับสนุนน้อง สนองนโยบายนาย" "จริงใจกับมิตร พิชิตใจมวลชน" "อุ้มน้อง ประคองพี่ กอดคอเพื่อน" "นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นที่สูงไม่ได้"
ในทางตรงกันข้าม การทะเลาะเบาะแว้งกับบุคคลอื่นเป็ฯสิ่งที่ผู้บริหารควรละเว้นเสียเป็ฯดีที่สุด
6. (มี) คุณธรรมจริยธรรม คุณธรรมประดุจดั่งโลหิตที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของผู้บริหารให้เป็นผู้ คิดดี พูดดี ทำดี และสามารถ ครองตน ครองคน และครองงาน ได้อย่างสง่างาม มีคำกล่าวว่า
"ความดีฉกชิงวิ่งราวกันไม่ได้ ความชั่วนั้นทดแทนกันไม่ได้ ความกล้าแบ่งปันกันไม่ได้"
ผู้บริหารที่ดีจะต้องหมั่นตรวจสอบตนเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม และจริยธรรมอยู่เสมอ การเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมนั้นจะทำให้ผู้บริหารได้รับความรัก ความเคารพ ควมเชื่อถือ และความศรัทธาจากผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป ผู้บริหารพึงระวัง 4 ส. และ 4 อ. ต่อไปนี้
4 ส. 1. สตรี
2. สตางค์
3. สุรา
4. สรรเสริญ
4 อ. 1.อำนาจ
2.อาฆาต
3.อารมณ์
4.อคติ
เสียงกู่จากผู้น้อยในคำกลอนต่อไปนี้ จะช่วยสะกิดเตือนใจผู้บริหารให้ตระหนักในคุณค่าของความดี และมีคุณธรรม คือ
"อธิษฐานตั้งใจ ไว้เต็มที่ เกิดชาตินี้ชาติไหนไม่รู้จบ หากเกิดเป็นผู้น้อยคอยไหว้ ขอได้พบนายดีมีคุณธรรม"
7. บริหารจัดการ (ดี) ประสิทธิภาพขององค์กรขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้บริหาร ผู้บริหารที่ดีจะต้อง "See throough" ในงานที่รับผิดชอบ สามารถมองภาพของงานได้ตลอแนวรู้จักการวิจัยและพัฒนางาน (Research and Development) และรู้จักนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางการบริหารมาใช้ในการพัฒนางานอยู่เสมอ มีผู้กำหนดประเภทของผู้บริหารเป็น 4 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 งานก็ไม่สน คนก็ไม่สร้าง (ไม่ได้ทั้งงานและไม่ได้ทั้งคน)
ประเภทที่ 2 งานสน แต่คนไม่สร้าง (ได้งาน แต่ไม่ได้คน)
ประเภทที่ 3 งานไม่สน แต่คนสร้าง (ได้คน แต่ไม่ได้งาน)
ประเภทที่ 4 งานก็สน คนก็สร้าง (ได้ทั้งคน และได้ทั้งงาน)
โดยปกติทั่ว ๆ ไป เรามักจะพบเห็นผู้บริหารประเภทที่ 1หรือ 2 หรือ 3 ส่วนประเภทที่ 4 นั้นหายากแต่อยากจะเรียนว่า ถ้าบริหารแล้วได้ทั้งงานและได้ทั้งคน คือสุดยอดของนักบริหาร มีคำกลอนน่าคิดว่า
"ไม่มีองค์การเยี่ยม แต่ผู้บริหารแย่ และไม่มีองค์การแย่ แต่ผู้บริหารเยี่ยม"
ดังนั้นผู้บริหารมืออาชีพต้องพัฒนาตน พัฒนาคน และพัฒนางาน เพื่อให้ภารกิจขององค์การยรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลให้จงได้ บริหารแล้ว ลูกน้องพอใจได้งาน ผู้บริหารก็เป็นสุข หรืองานบรรลุ คนก็เป็นสุขนั่นเอง
ใคร่ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ หรือ คุณลักษณะดังนี้ ]
1. บุคลิกภาพดี
2. ความรู้ดี
3. มีวิสัยทัศน์
4. มีภาวะผู้นำ
5. มีมนุษยสัมพันธ์
6. มีคุณธรรมจริยธรรม
7. บริหารจัดการดี
ประโยนช์ของโยเกิร์ต
โยเกิร์ต คือ ผลิตภัณฑ์หมักจากนมวัว ซึ่งเกิดจากการหมักด้วยแบคทีเรียแลคติค สายพันธุ์จำเพาะกลุ่มแลคโตบาซิลลัสและสเตรปโตคอกคัสมีลักษณะจับตัวกันเป็นลิ่ม ประโยชน์ของโยเกิร์ตต่อสุขภาพ
1. แบคทีเรียแลคติคผลิตเอนไซม์เพื่อย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาที่ไม่สามารถย่อยแลคโตสจากการบริโภคน้ำนมธรรมดาทำให้ท้องอืดและท้องเฟ้อ
2. ช่วยให้ฟื้นจากอาการท้องเสียได้เร็วขึ้น เนื่องจากโยเกิร์ตจะคงสภาพได้มากกว่านมปกติ และยังช่วยป้องกันการขาดสารอาหารและช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
3. ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
4. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่
5. ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด - ส่วนปริมาณแคลเซียมสามารถดูได้จากฉลากผลิตภัณฑ์แล้วเทียบค่ากันดูนะค่ะ
19 คำโกหกของลูกผู้ชาย
"ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ"(ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน)ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว"เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ"เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จะะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้"ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ"สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้"ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง"ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ"ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่"คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพ ์ติดของเค้าขนาดนั้น"ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค ความคิดของเธอ"ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน)และ 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป “ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง“เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”“เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน“ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า“ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็หญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”“มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน“ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม
โรคติดเน็ต คุณเป็นหรือเปล่า?
อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นอกเหนือไปจากเรื่องไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ที่หลั่งไหลมากับสื่อชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพลามกอนาจาร ไวรัส การพนัน หรืออะไรร้าย ๆ ทำนองนี้แล้ว แม้แต่คนเล่นเว็บที่เลือกชมแต่สิ่งดี ๆ ก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกัน
เนื่องจากในสังคมอเมริกันมีคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และนับวันก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เขาจึงเกิดความเป็นห่วงกันว่า เทคโนโลยีใหม่นี้จะส่งผลกระทบอะไรต่อสภาพจิตใจคนบ้างหรือเปล่า ดังนั้นนาย David Greenfield นักวิจัยและนักจิตบำบัด จึงได้ร่วมกับสำนักข่าว ABC News ทำการสำรวจความรู้สึกและสภาพจิตใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากถึง 17,251 ราย ผ่านทางเว็บไซท์ www.abcnews.com ซึ่งถือเป็นการศึกษากลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา และได้นำเสนอผลงาน ครั้งนี้ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychological Association) เมื่อเดือนสิงหาคม (2542) ที่ผ่านมานี้เอง
ผลการศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวความคิดที่กำลังเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่า ความอยากใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไม่อาจหักห้ามใจตัวเอง หรือเราอาจเรียกว่า "โรคติดเน็ต" นั้น เป็นปัญหาทางจิตอย่างหนึ่ง และเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง
แบบสอบถามที่ใช้ในการสำรวจครั้งนี้ Greenfield ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามที่ใช้กับผู้ติดการพนัน ซึ่งถ้าผู้ถูกสำรวจตอบ "ใช่" มากกว่า 5 ข้อจากเกณฑ์ 10 ข้อ ก็จะถูกประเมินว่ามีอาการติดอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีผู้อยู่ในเกณฑ์นี้ 990 รายจากผู้ตอบทั้งหมด หรือ ประมาณ 5.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าคิดว่าประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกมีประมาณ 200 ล้านราย ก็หมายความว่าอาจจะมีผู้ติดเน็ตถึง 11.4 ล้านคนทีเดียว
Greenfield กล่าวว่า "ในฐานะนักบำบัด ผมพบผู้ป่วยทั้งประเภทที่ครอบครัวแตกแยก, เด็ก ๆ มีปัญหา, พวกที่ทำผิดกฏหมาย และ พวกที่กำลังใช้เงินมากเกินไป
อย่างไรก็ดีจำนวน 5.7 เปอร์เซ็นต์ที่มีปัญหานั้น ก็จัดว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ที่คิดว่ามีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจของนักเรียนระดับวิทยาลัย นอกจากนี้การสำรวจยังทำผ่านเว็บไซท์เพียงแห่งเดียว และแบบสอบถาม ยังอยู่ติดกับหัวข้อข่าวเรื่องการติดอินเทอร์เน็ตด้วย ดังนั้นผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จึงอาจมีแนวโน้มของอาการนี้อยู่แล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้ผลสำรวจเบี่ยงเบนไปบ้าง
สำหรับผลสรุปอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากการสำรวจครั้งนี้ก็เช่น
1 ใน 4 บองนักเล่นเว็บยอมรับว่าใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความรู้สึกตกต่ำ, สิ้นหวัง, สำนึกผิด และความกลุ้มใจ
1 ใน 7 ยอมรับว่ามีความรู้สึกหมกมุ่นถึงอินเตอร์เน็ตระหว่างที่ไม่ได้เล่น
1 ใน 7 เช่นกัน บอกว่าเคยพยายามจำกัดการใช้ แต่ล้มเหลว
1 ใน 14 มีความรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดเมื่อพยายามจะลดการเล่น
1 ใน 25 ตอบว่าตนสูญเสียงาน โอกาสทางวิชาชีพ หรือความสัมพันธ์ที่สำคัญเพราะนิสัยการเล่นอินเตอร์เน็ต
ครูยุคใหม่...ครูยุคปฏิรูป
รักและเข้าใจเด็ก คือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของคนเป็นครู นอกจากความรักและเอาใจใส่แล้ว ครูยังต้องมีความเมตตาและปรารถนาดีต่อเด็กด้วย
ศรัทธาในวิชาชีพ ครูมีหน้าที่พัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างมีคุรภาพเพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต อาชีพครูจึงเป็นงานที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจยิ่ง
ยอมรับความแตกต่างของผู้เรียน ครูเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป โดยครูเป็นผู้ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็กในด้านนั้น ๆ ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นหัวใจของการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้คนไทยมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ (เก่ง ดี มีความสุข) ครูจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนของตนให้สอดคล้องกับแนวการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
พัฒนาตนเองเสมอ ความรู้ต่าง ๆ เทคโนโลยี ตลอดจนนวัตกรรมด้านการศึกษาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากครูหยุดนิ่งอยู่กับที่ จะกลายเป็นครูตกยุคในที่สุด
ทุ่มเทและรับผิดชอบสูง ครูจะประสบความสำเร็จในอาชีพได้ ต้องทุ่มเทตนเองและอุทิศเวลาให้แก่งานในหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ
ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ยึดมั่นในจรรยาบรรณของวิชาชีพครู วางตนเหมาะสม เป็นที่ยอมรับและน่าศรัทธาของสังคม
รู้จักวิเคราะห์หลักสูตร สามารถนำหลักสูตรการเรียนรู้มาประยุกต์เข้ากับสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงของผู้เรียน และเชื่อมโยงกับสภาวะของสังคมโลกที่อยู่ไกลตัวออกไป
เป็นนักประสาน ในอนาคต ครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนสถาบันอื่น ๆ จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการศึกษามากขึ้น ครูจึงต้องรู้จักร่วมมือกับองค์กรเหล่านั้นอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการศึกษา
.....มีกลอนมาฝากกัน.....
พอเพียง
รู้พอเพียงพอประมาณการใช้จ่ายมีความหมายมีค่ากว่าใดยิ่ง
หยุดฟุ่มเฟือยรู้ประหยัดอย่างแท้จริงใช่หยุดนิ่งแต่ขยันสร้างสรรค์งาน
มีเหตุผลไตร่ตรองมองถ้วนถี่สิ่งใดดีเหมาะรับกับหลักฐานปรับประยุกต์ให้ทันกับเหตุการณ์
รู้ประสานสามัคคีมีวินัยคือหลักการคุณธรรมล้ำเลอเลิศจะบังเกิดผลดีที่ยิ่งใหญ่สันติสุขสู่ชน
โดยทั่วไปเพราะต่างไม่โลภมากหากพอใจปรัชญาพ่อประทาน
ให้ขานรับไทยจะกลับพลิกฟื้นผืนดินใหม่เคยหลงทิศผิดทางฟุ้งเฟ้อไกลเพียงพอได้จะดีมีสุขเอย................
มารู้จักธีการออมกัน เถอะ...
5 วิธีประหยัดเงิน โดยที่คุณไม่ต้องเหงื่อตก
5 วิธีประหยัดเงิน (โดยที่คุณไม่ต้องเหงื่อตก)
ชีวิตอิสระ ::
ทำไมต้องจ่ายค่าสมาชิกบัตรเครดิต? ถ้าคุณไม่จำเป็นต้องจ่าย? เลือกธนาคารที่งดเว้นค่าธรรมเนียมนี้ถ้าคุณคิดจะทำบัตรเครดิต และถ้าเป็นไปได้ทำบัตรเครดิตเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อย่าทำบัตรเครดิตหลายๆใบ เพียงเพราะเหตุผลว่าคุณจะได้กระเป๋าเดินทางที่เป็นของพรีเมี่ยมสวยเก๋มาใช้ช่วงซัมเมอร์
ราคานาทีทอง ::
พวกอาหารกล่องปรุงสำเร็จแบบวันต่อวัน หรือพวกเบเกอรี่เราสามารถมองหาส่วนลดได้หลังหนึ่งทุ่มโดยประมาณ มันจะถูกมากๆเลย บางที่ลด 30 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจลดครึ่งราคาเลยก็มี เราเคยซื้อข้าวกล่องชุดญี่ปุ่นที่ราคาจริงประมาณ 75 บาท ในราคา 39 บาท มาแล้ว อาหารพวกนี้มันยังคงใหม่และสดอยู่ พวกเขาเพียงแต่ต้องการเคลียร์อาหารที่มีอยู่ให้หมดก่อนเวลาห้างปิดเท่านั้นเอง
จ่ายรายปีถูกกว่า ::
ถ้าคุณต้องดูเคเบิ้ลทีวี หรือต้องอ่านแมกกาซีนทุกเดือนอยู่แล้วแทนที่คุณจะจ่ายเป็นรายเดือน ก็เลือกจ่ายเป็นรายปีไปเลย จะคุ้มค่ากว่า นอกจากจะได้ส่วนลดแล้ว อาจได้ของแถมอีกต่างหาก เช่นได้ดูฟรีอีก 1 เดือน ได้ครีมบำรุงผิวมาสักชุดสองชุดไงล่ะ
เลือกให้เหมาะ ::
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกบริการที่เป็นแพ็คเกจอย่างโทรศัพท์มือถือ หรือเคเบิลทีวี คุณไม่จำเป็นต้องเลือกบริการแบบเต็มรูปแบบที่ผู้ให้บริการเสนอให้ก็ได้ คิดทบทวนให้ดีๆเสียก่อน ว่าสิ่งที่คุณต้องการจริงๆคืออะไร บางทีคุณอาจไม่ทันคิดว่ามันเกินความจำเป็นของคุณก็ได้ แล้วจะจ่ายแพงเพื่อส่วนนี้ไปทำไมล่ะ
เคลียร์หนี้เป็นอันดันแรก ::
"การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ"เคยได้ยินกันหรือเปล่า เราเชื่อคำกล่าวนี้ล้านเปอร์เซ็นต์ หนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโรคหรอก ดังนั้นทุกครั้งที่เงินเดือนออก คุณรู้ตัวว่าเป็นหนี้อะไรอยู่ก็ตามจ่ายมันให้หมด อย่าให้พอกพูนได้ จำไว้ว่าอาการ "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" น่ะ มันไม่สนุกหรอก
การนอนหลับ
การนอนหลับ
การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง
กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร
melatonin
สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้
1. การนอนช่วง Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ1ใหม่
-Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า
-Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles
-Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย
2. การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาทีหลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้
เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน
อาการนอนไม่หลับ
อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง
การวินิจฉัย
แพทย์จะถามคำถาม 4คำถามได้แก่
-ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร
-นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
-เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
-สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่
แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ
คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด
ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น
เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก
-เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน
-อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
-หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
-บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัว
ทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน
การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย
ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง
มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)
จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร
ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ
การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพและการออกกำลังกาย
ข้อเสียของกาแฟ
ใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำ รู้ถึงข้อเสียของกาแฟกันหรือเปล่า วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...
ผลการวิจัยจากประเทศกรีซ บอกว่า กาแฟที่ดื่มปานกลางถึงมากทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ นักวิจัยศึกษาลงลึกในเรื่องกาแฟกับการอักเสบ (coffee and inflammation) ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วนและเบาหวาน
รายงานการวิจัยซึ่งปรากฏในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ฉบับเดือนตุลาคม ระบุว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟพอประมาณไปจนถึงมากพบร่องรอยการอักเสบในระดับสูงกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวกรีกชายหญิงจำนวน 3,000 คนที่ไม่เคยมีประวัติการเป็นโรคหัวใจมาก่อน คนเหล่านี้จะต้องตอบแบบสอบถามถึงพฤติกรรมการกินกาแฟและปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก อาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การใช้ยารักษาโรค การบริโภคผลไม้ พืชผัก ปลา ผลไม้เปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก และแอลกอฮอล์ มีการนำตัวอย่างเลือดของคนเหล่านี้ไปศึกษาหาร่องรอยของการอักเสบ
โดยนักวิจัยเป็นผู้วิเคราะห์ผล พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละไม่ต่ำกว่า 200 ซีซี (มากกว่าหนึ่งถ้วยนิดหน่อยซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ถือว่าดื่มปานกลาง โดยหนึ่งถ้วยกาแฟมีคาเฟอีน 28 มิลลิกรัม ผู้ดื่มอาจดื่มกาแฟสำเร็จรูปบ้าง กาแฟคั่วบ้าง จะเป็นคาปูชิโนหรือเอสเปรสโซ่ หรือชนิดใดก็ตามซึ่งมีคาเฟอีนปริมาณต่าง ๆ กัน ผู้วิจัยจะนำมาคำนวณความต่างตรงนี้ด้วย) มีร่องรอยการอักเสบมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจได้
กินอะไรอายุยืน
เผยเคลล็ดลับคนอายุยืน
เผยเคล็ดลับคนอายุยืน
การมีชีวิตอยู่อย่างยืนนาน และสุขภาพยังแข็งแรงนั้น นับเป็นสุดยอดปรารถนา ของคนทุกผู้ทุกนาม แต่อะไรเล่าที่ทำให้คนเราไปถึงจุดนั้นได้
แซลลี่ แบร์ นักโภชนาการ ฉุกคิดตั้งคำถาม ขึ้นมาแล้วมองหาคำตอบจากเมือง หรือชุมชน 5 แห่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชน ที่มีคนอายุยืนอาศัยกันอยู่ มากที่สุดในโลก ได้แก่ โอกินาวา ในญี่ปุ่น เกาะไซมีที่กรีซ แคมโปดีเมล ในอิตาลี หุบเขาฮันซา ใน ปากีสถาน และเมืองปามาในจีน
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ดู นักโภชนาการ จากอังกฤษที่บัดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในปากีสถานพบว่า มีเคล็ดลับข้อเหมือนกันในการใช้ชีวิตของคนอายุยืนนั้น สรุปได้ 50 ข้อ แล้วนำ มารวมเป็นหนังสือชื่อ “50 เคล็ดลับคนอายุยืนของโลก” (50 Secrets of the World's Longest Living People, by Sally Beare)
มาดูสัก 2-3 ข้อ พอเป็นตัวอย่างเผื่อจะลอง ปฏิบัติตามเป็นหนทางไปสู่การมีอายุยืนกับเขากันบ้าง
ข้อเหมือนในการใช้ชีวิตของคนในชุมชนอายุยืนนั้นประการแรก พวกเขามักจะกินผักและผลไม้เป็นจำนวนมาก มักกินอาหารในกลุ่มธัญพืชหรือแป้งไม่ขัดขาวมากกว่าขนมปัง แครกเกอร์ ส่วนอาหารไขมันก็จะเลือกที่เป็นไขมันสุขภาพอย่างถั่ว หรือน้ำมันมะกอก เป็นต้น ไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์ และแบบแผนการกินอยู่ก็จะจัดอยู่ในกลุ่มแค่พอสัณฐานประมาณ ไม่กินมากเกินไป ทั้งยังไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ด้วย
เรื่องกิจกรรมในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ต้องไปออกกำลังตามโรงยิม แต่จะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ค่อยนั่งเฉยๆ ให้รถติดตามสี่แยกหรือทำงานแบบนั่งโต๊ะ แต่จะทำงานอาชีพประเภทประมงและเกษตรกรรม พอถึงเวลาพักผ่อนพวกเขาก็จัดอยู่ในพวกแอ็กทีฟมาก เพราะจะทั้งร้องเล่น เต้นระบำ ออกล่าสัตว์ และออกกำลัง แบบศิลปะป้องกันตัวอีกด้วย
ข้อสุดท้ายนี้ก็สำคัญ กล่าวคือนอกจากท้องอิ่มแล้ว ยังต้องหล่อเลี้ยงจิตใจให้สบายด้วย แม้ว่าความคิดความเชื่อทางศาสนา จะแตกต่างกันไป แต่ตามชุมชนทั้ง 5 แห่ง ที่กล่าวมานั้นสมาชิกส่วนใหญ่ต่างก็ปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์ภาวนาตามแบบของตน มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนอย่างเข้มแข็ง และที่สำคัญตามชุมชนที่ว่ามานี้ ไม่มีคำว่า “เกษียณอายุ” ปรากฏอยู่ในพจนานุกรม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น